รีวิว Samsung Galaxy Z Fold2 5G ประสบการณ์ใหม่ของมือถือจอพับเกรดไฮเอนด์

รีวิว Samsung Galaxy Z Fold2 5G ประสบการณ์ใหม่ของมือถือจอพับเกรดไฮเอนด์

เป็นการพัฒนาประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนจอพับได้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นสำหรับ Samsung Galaxy Z Fold2 5G ที่มีรูปแบบการใช้งานหลากหลายภายใต้ราคา 69,900 บาท

Galaxy Z Fold2 5G มากับงานวัสดุเครื่องที่หรูหราด้วยลูกผสมระหว่างกระจกและโลหะซึ่งสีที่เข้าไทยประกอบด้วย Mystic Bronze ซึ่งเป็นสีทองแดงไฮไลท์ของรุ่นเรือธง Samsung ในปีนี้ และมีการทำผิวสัมผัสแบบด้าน

อีกสีที่เข้ามาเป็น Mystic Black สีดำคลาสสิค ซึ่งเป็นสีเครื่องที่เราได้มาทำรีวิวกันในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนทั้งเรื่องความสวย และรอยนิ้วมือที่ติดง่ายเห็นชัด

นอกจาก 2 สีที่เข้ามาขายแล้วทาง Samsung ประเทศไทย ก็ยังมีการนำเสนอออฟชั่นให้ผู้ซื้อสามารถเลือกสีแกนพับ (Hinge) ของเครื่องได้เมื่อซื้อผ่าน โดยมีทั้งสีเงิน (Metallic Silver), สีทอง (Metallic Gold), สีแดง (Metallic Red) และสีน้ำเงิน (Metallic Blue)

สำหรับสัดส่วนเครื่องตอนพับจะอยู่ที่ 159.2 x 128.2 x 6.9มม. ถ้ากางออกจะอยู่ที่ 159.2 x 68.0 x 16.8มม. น้ำหนักอยู่ที่ 279 กรัม

ส่วนที่สำคัญของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้คือการพัฒนาด้านความทนทานให้ดีขึ้นจากรุ่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นระบบข้อต่อบานพับก็เป็นกลไก CAM ซึ่งเป็นชิ้นส่วนลูกเบี้ยวที่มีขนาดเล็กรูปทรงคล้ายสันเขา ช่วยให้สามารถปรับองศาการพับจอได้ตั้งแต่ 75–115 องศา

ในส่วนของจอด้านใน (Main Display) คลุมด้วยกระจก Ultra-thin Glass (UTG) ให้มีความทนทานและความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม ส่วนกระจกที่คลุมด้านนอกใช้ Gorilla Glass Victus ที่ทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่า Gorilla Glass 6 ถึง 2 เท่า

ด้านจอภาพของ Z Fold2 ก็ถูกดีไซน์ให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นโดยออกแบบให้เป็น Infinity-O Display ทั้ง หน้าจอแสดงผลด้านนอก (Cover Display) และจอแสดงผลหลัก (Main Display)

เริ่มกันจากจอด้านนอก Galaxy Z Fold2 ได้เพิ่มขนาดจาก Galaxy Fold ที่มีขนาด 4.6 นิ้ว เป็น 6.2 นิ้ว พาแนล Super AMOLED ความละเอียด 2,260×816 พิกเซล รีเฟรชเรทสูงสุด 60Hz และรองรับ HDR10+

อัตราส่วนจอด้านนอกจะเป็นทรงยาว 25:9 ด้านบนของหน้าจอก็มีกล้องหน้าแบบเจาะรูตรงกลาง, เซ็นเซอร์ต่างๆ และลำโพงสนทนา

ต่อมาเป็นจอหลักด้านในเป็น Dynamic AMOLED 2X ขนาด 7.6 นิ้ว ความละเอียด 2,208 x 1,768 พิกเซล สัดส่วนภาพ 22.5:18 มี Dynamic Refresh Rate ปรับอัตรารีเฟรซแบบไดนามิกตามเนื้อหาได้ตั้งแต่ 1-120Hz และโหมดความสว่างสูง 700nit รองรับ HDR10+

ตรงมุมซ้ายบนด้านหลังเครื่องเป็นพื้นที่สำหรับกล้องหลัง 3 ตัวซึ่งวางเป็นแนวตั้งอยู่ในโมดูลทรงสี่เหลี่ยม มีแฟลช LED อยู่ฝั่งขวา ซึ่งตัวโมดูลกล้องเองก็นูนขึ้นมาจากฝาหลังประมาณหนึ่ง

ด้านปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มพาวเวอร์ที่เป็นสแกนลายนิ้วมือจะอยู่ด้านขวาของเครื่อง เช่นเดียวกันกับช่องใส่ซิมซึ่งรองรับซิมเดียวชนิด nano SIM ส่วนอีกซิมต้องเป็น eSIM

ขอบเครื่องด้านล่างมีพอร์ต USB-C และ ไมโครโฟน สำหรับลำโพงเป็นแบบสเตอริโอจูนโดย AKG เจ้าเดิม ติดตั้งอยู่บริเวณขอบบนและล่างของเครื่อง

Galaxy Z Fold2 มากับระบบปฏิบัติการ Android 10 คลุมด้วย OneUI 2.5 ประมวลผลเร็วแรงด้วยชิปเซต Snapdragon 865+ ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมขนาด 7nm และนับว่าเป็นชิปเรือธงฝั่ง Android ที่แรงที่สุดในตอนนี้

ด้านประสบการณ์การใช้งาน Samsung Galaxy Z Fold2 นับว่าเป็นรุ่นที่เข้ามายกระดับการทำงานของสมาร์ทโฟนจอพับได้ให้มีประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมีการทำงาน 3 รูปแบบ

การใช้งานในขณะพับเครื่องด้วยจอด้านนอกที่ได้รับการขยายใหญ่มากขึ้น ซึ่งการทำงานกับหน้าจอนี้เรียกว่าไม่แตกต่างจากการใช้งานสมาร์ทโฟนทั่วไป ซึ่งอาจจะมีบางแอปฯ หรือบางเกมที่แสดงผลแปลกๆ เมื่ออยู่บนอัตราส่วนของจอที่เน้นไปทางยาวแต่ก็ไม่ได้กระทบภาพรวมของการใช้งาน

การใช้งานจอหลักที่ให้พื้นที่การแสดงผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เหนือกว่าการทำงานบนหน้าจอสมาร์ทโฟนแบบเดิมๆ ซึ่งตัว UI ของแอปฯ บางอันจะสามารถปรับมุมมองแบบ Wide View เพื่อให้เห็นรายละเอียดที่มากกว่าปกติได้ อาทิเช่น แอปฯ Gmail ที่จะมีขึ้นแถบอีเมล์ในกล่องที่ฝั่งซ้าย และเมื่อแตะเปิดดูก็จะปรากฏเนื้อหาของอีเมล์ตรงฝั่งขวา หรือจะเป็นแอปฯ YouTube ที่แสดงผลเหมือนกับตอนใช้งานบนคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ตัวจอหลักของ Z Fold2 ก็ยังสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานแอปฯ พร้อมกันได้มากสูงสุดถึง 3 ตัว พร้อมทั้งเซฟทำ Multi Window Tray จับคู่แอปฯ ที่ทำงานร่วมกันบ่อยๆ เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้

สำหรับการทำงานข้ามแอปฯ ในรุ่นนี้ก็รองรับฟีเจอร์ Drag-and-Drop แชร์เนื้อหาระหว่างแอปเพียงลากแล้ววาง

รูปแบบการใช้งานใหม่ที่ถูกต่อยอดมาจากฟีเจอร์ในรุ่น Galaxy Z Flip เพื่อประสบการณ์การใช้งานแบบ Hands-Free ซึ่งมีหลายแอปฯที่รองรับ อาทิเช่น YouTube ที่เราสามารถแบ่งการทำงานของจอออกเป็นสองส่วนโดยให้จอบนเล่นคลิปปกติ ส่วนจอล่างแสดงผลคอมเมนท์ หรือจะเป็นการกางเครื่องเป็นขาตั้งแล้วให้จอนอกเล่นคลิปก็ทำได้

อีกหนึ่งแอปฯ ที่ Flex Mode เข้ามามีบทบาทสำคัญคือ แอปฯ Camera ที่เราสามารถแบ่งการทำงานให้จอล่างแสดงผลเป็นภาพที่ถ่ายไปได้ ขณะที่จอบนก็ยังเป็นกล้องปกติ

ด้านการทำงานในระบบเครือข่าย Z Fold2 สามารถใช้งานได้ 2 ซิม โดยเป็นซิมปกติแบบ nanoSIM กับ eSIM และแน่นอนว่ารองรับการใช้งาน 5G ทั้งแบบ NSA/SA และรองรับ Wi-Fi 6 สปีดสูงสุด 1.2Gbps

ตัวอุปกรณ์มีการติดตั้งเทคโนโลยี Ultra Wide Band (UWB) ทำให้ใช้งาน Nearby Share แชร์ไฟล์ต่างๆ ระหว่างเครื่องได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายขึ้น แถมยังรองรับฟีเจอร์ SmartThings Find ที่จะออกมาในอนาคต

นอกจากนี้ฟีเจอร์ Samsung DeX เองก็รองรับการทำงานได้ 3 รูปแบบตั้งแต่การต่อ USB-C เข้ากับคอมพิวเตอร์, ต่อ HDMI เข้ากับจอมอนิเตอร์ หรือจะเป็นของใหม่อย่าง Wireless Connection Mode ที่รองรับการทำงานกับจอที่มีระบบ Miracast

ส่วนคนที่ชอบฟังเพลงก็สามารถใช้ Buds Together แชร์เพลงให้เพื่อนฟังไปด้วยกันได้โดยที่ไม่ต้องยื่นหูฟังที่สวมอยู่ให้

ตัวแบตเตอรี่ให้มาที่ 4500mAh รองรับ Fast Charging 25W และ Wireless Charging 11W รวมถึงมีฟีเจอร์ Wireless PowerShare เปลี่ยนร่างเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์ที่รองรับได้ซึ่งหลักๆ ก็จะเป็นโปรดักซ์ของ Samsung เอง และตัวอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐาน WPC Qi Wireless Charging

ในมุมของการเล่นเกมจากชิปเซตและสเปคความจำก็เรียกว่าไม่มีอะไรให้ห่วงเข้าถึงระดับกราฟฟิกสูงสุด และเฟรมเรทสูงสุดของเกมฮิตๆ ได้หมด

ด้านการถ่ายภาพ Galaxy Z Fold 2 5G มีกล้องมาให้ถึง 5 ตัว ประกอบด้วยกล้องหน้า 2 จุด คือตัวจอด้านใน และจอด้านนอก ใช้สเปคเท่ากันคือกล้อง 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 ขนาดพิกเซล 1.22um ซึ่งกล้องหน้าทั้งสองรองรับการบันทึก 4K 30fps และ 4K 60fps ที่อัตราส่วน 16: 9 และ 21: 9

เรื่องฟีเจอร์การถ่ายภาพต่างๆ ถือว่าเป็นไปตามสเปคเรือธง แต่สิ่งที่น่าสนใจในรุ่นนี้คือการดึงความสามารถของการเป็นมือถือจอพับได้และมีสองหน้าจอในเครื่องเดียวมาใช้

นอกจากการทำงานใน Flex Mode เพื่อเรียกฟีเจอร์ Capture-view mode ถ่ายแล้วดูพรีวิวภาพจากจอล่างได้เลย หรือการกางเครื่องเพื่อเป็นขาตั้งสำหรับถ่ายภาพได้แล้ว ตัวกล้องของ Z Fold2 ก็ยังมีโหมด Auto Framing ระบบจัดองค์ประกอบภาพขณะถ่ายวีดีโอโดยอัตโนมัติ

สำหรับจอด้านนอกก็สามารถเปิดเป็น Dual Preview เพื่อแสดงรูปพรีวิวบนจอหลักและจอนอกได้พร้อมกัน หรือจะกางออกเพื่อใช้กล้องหลักในการถ่ายเซลฟี่ก็สามารถทำได

ในภาพรวม Samsung Galaxy Z Fold2 5G ก็ยกให้เป็นสมาร์ทโฟนจอพับระดับไฮเอนด์ที่สามารถดึงความสามารถด้านหน้าจอของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเติมเต็มรูปแบบการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ บวกกับสเปคเครื่องที่เรียกว่าแรงสมราคา

อย่างไรก็ดีก็มีข้อสังเกตตรงการจัดการความร้อนของเครื่อง ซึ่งจากที่ทดสอบมาเมื่อเปิดเล่นเกม หรือเปิดใช้งานกล้องไปได้สัก 10-15 นาทีก็จะสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเครื่องที่เริ่มอุ่นขึ้น และอีกจุดก็เป็นเรื่องของรอยนิ้วมือบนจอหลักที่เหมือนจะเช็ดออกยากกว่าปกติ ทว่าในภาพรวมก็ไม่ได้มีผลต่อการใช้งาน

สุดท้ายใครที่สนใจอยากเป็นเจ้าของนวัตกรรมสมาร์ทโฟนจอพับรุ่นนี้ก็สามารถไปพรีออเดอร์กันได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 13 กันยายน ที่ Samsung Experience Store, และผู้ให้บริการเครือข่าย โดยราคาติดโปรฯ จ่ายเริ่มต้นเพียง 49,900 บาท (ราคาเต็ม 69,900 บาท) มีของแถมช่วงพรีออเดอร์ทั้ง Galaxy Buds Live, ประกัน Samsung Care+ และ บริการ Galaxy Butler Gold

Comments

Post Comments