FRONT END , BACK END , FULL STACK คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ? | OLS Community | Technology news, knowledge base & tutorials

FRONT END , BACK END , FULL STACK คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ? | OLS Community | Technology news, knowledge base & tutorials

แน่นอนว่าในวงการโปรแกรมเมอร์ ย่อมมีหลากหลายสายงานที่น่าสนใจ ในวงการนี้จากผลการสำรวจความนิยมสายงานโปรแกรมเมอร์ของ Stack Overflow ในปี 2019 พบว่า อันดับหนึ่งในสายงานที่ได้ใจสายโปรแกรมเมอร์ไปครองเลยก็คือ “Full Stack Developer” หรือ นักพัฒนาโปรแกรมหน้าบ้าน และหลังบ้าน รองลงมาคือ “Back End Development” นักพัฒนาโปรแกรมหลังบ้าน และอันดับสามก็คือ “Front End Development” นักพัฒนาโปรแกรมหน้าบ้าน

สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มต้นเขียนโปรแกรมได้ไม่นานอาจจะสงสัยว่าทั้งสามสายงานนี้ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง OLS ได้รวบรวมข้อมูลมาให้คุณได้เข้าใจให้มากขึ้นได้แล้วที่บทความนี้

เนื่องจากเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันนั้นมีการเติบโตที่ค่อนข้างซับซ้อน และจำเป็นต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้พัฒนาจึงต้องมีความเชี่ยวชาญให้มากขึ้นอยู่เสมอ โดยการพัฒนาเว็บไซต์ในที่กล่าวมานี้หมายถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายที่มักขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักพัฒนาเว็บไซต์มีความเชี่ยวชาญด้วยกัน 3 ประเภทหลักได้แก่

• Front End Development การพัฒนาโปรแกรมในส่วนของหน้าบ้าน (ส่วนที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน)

• Back End Development การพัฒนาโปรแกรมในส่วนของหลังบ้าน (ส่วนของการทำงานเบื้องหลังจำพวก ฐานข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐาน)

• Full Stack Developer การพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบทั้งหน้าบ้าน และหลังบ้าน ถือเป็นความเชี่ยวชาญที่ลงตัวของทั้งสองรูปแบบ โดยสามารถนำไปใช้กับ web stack , mobile stack , หรือ native application stack แอปพลิเคชันดั้งเดิม เช่น โปรแกรมซอฟแวร์สำหรับอุปกรณ์เฉพาะ เป็นต้น

เพื่อให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจว่า นักพัฒนาเว็บไซต์ของแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญอย่างไรบ้าง หรือในกรณีที่นักพัฒนา Full Stack อาจยังไม่ใช่ผู้ชำนาญที่เชี่ยวชาญพอ OLS ได้จัดทำหัวข้อเพื่อแยกข้อมูลทั้งหมดออกมาให้ทุกคนได้อ่านกันง่ายขึ้น พร้อมบอกทักษะที่คุณต้องเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเป็นนักพัฒนาด้านต่าง ๆ ในแบบที่คุณต้องการได้ดังนี้

นักพัฒนา Front End คือ นักพัฒนาโปรแกรมในส่วนด้านหน้าที่มองเห็นได้ทันทีของหน้าเว็บไซต์ หรือ ที่หลายคนเรียกติดปากกันว่า หน้าบ้าน นั่นเอง โดยผู้ใช้งานสามารถมองเห็น และโต้ตอบร่วมกันภายในเว็บเบราว์เซอร์ได้

ในส่วนของหน้าเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันบนมือถือ เป็นส่วนที่ผู้ใช้สามารถมองเห็น และโต้ตอบได้โดยตรง ถูกสร้างขึ้นด้วยภาษาทั่วไปที่ต้องรู้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

HTML (Hypertext Markup Language) เรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของเว็บเลยทีเดียว โดยทุกเว็บไซต์ที่คุณเข้าไปเยี่ยมชมนั้นล้วนถูกสร้างขึ้นด้วย HTML มีหน้าที่ดูแลโครงสร้าง และเนื้อหาทั้งหมด เป็นภาษาที่ใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผลของหน้าเว็บเพจที่ต่างก็เชื่อมถึงกันใน Hyperspace ผ่าน Hyperlink นั่นเอง

ส่วน HTML5 คือ HTML ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ให้เป็นปัจจุบันบนหน้าเว็บไซต์ โดยถึงแม้ว่าเว็บไซต์ที่สร้างด้วยเวอร์ชันเก่าจะยังทำงานได้ดีบนเบราว์เซอร์ของคุณ แต่การพัฒนาให้ทำงานได้สะดวก และง่ายมากขึ้นมักทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าเสมอ HTML5 ยังถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นภาษามาร์กอัป (Markup language) สำหรับ WWW รุ่นต่อไปของ HTML

CSS (Cascading Style Sheets) หรือ “สไตล์ชีท” เป็นสิ่งที่ควบคุมลักษณะการแสดงผลของ HTML บนหน้าเว็บไซต์ โดย CSS สามารถกำหนดสี , แบบอักษร , ภาพพื้นหลัง และแม้กระทั่งวิธีการจัดวางตำแหน่งบนหน้าเว็บให้เกิดความสวยงาม โดยคุณสามารถใช้ CSS เพื่อจัดเรียงองค์ประกอบ HTML บนหน้าเว็บไซต์ได้ตามที่คุณต้องการ แม้ว่าจะแตกต่างจากลำดับที่จัดเรียงไว้ใน HTML ไฟล์ก็ตาม ส่วน CSS3 คือ CSS ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นปัจจุบันบนเว็บไซต์ และเพิ่มคุณสมบัติมากมายสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การโต้ตอบพื้นฐาน และภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น

ตอนนี้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ด้วย HTML และ CSS แต่ยังจำเป็นต้องใช้ร่วมกับ JavaScript ที่เป็นเหมือน Game changer หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ JavaScript สามารถช่วยให้ผู้พัฒนาสร้างเว็บเพจได้ตรงตามความต้องการ และมีความน่าสนใจได้มากกว่าเก่า เพิ่มความสามารถในการโต้ตอบภาพเคลื่อนไหวที่มีความซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น และยังทำให้คุณสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนได้ดียิ่งกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว

หากลองย้อนกลับไปในวันเก่า ๆ เช่น ปี 2012 เว็บเบราว์เซอร์เคยอธิบายความหมายผิด ๆ ของ JavaScript ไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนด้วย JavaScript ไม่ได้เป็นความคิดที่ดีเสมอไป แต่เบราว์เซอร์นั้นจะมีประสิทธิภาพที่มากขึ้น หากทำงานร่วมกับ JavaScript สิ่งที่เคยถูกสงวนไว้สำหรับภาษาการเขียนโปรแกรมของ “Back end” และ JavaScript นั้นสามารถพัฒนาด้วยตัวของมันเองได้ อีกทั้งยังรวมถึงการสร้าง Frameworks เช่น AngularJs , jQuery , and Node.js เป็นต้น

โดยสิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมดนี้ คือการพัฒนาในส่วนของ “Front End” ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

กล่าวโดยสรุปแล้ว Front End หรือ นักพัฒนาโปรแกรมในส่วนของหน้าบ้านมักใช้ HTML , CSS และ JavaScript เพื่อเขียนโค้ดเว็บไซต์ในการทำงาน โดยสายงานนี้เป็นคนที่ทำการออกแบบ และสร้างเว็บไซต์สำหรับการใช้งาน ในบางเว็บไซต์อาจสร้างขึ้นด้วย HTML , CSS และ JavaScript เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเว็บไซต์อื่น ๆ ยังมี Code ที่ซ่อนอยู่ในส่วนของ Back End เพื่อเพิ่มหรือปรับปรุงส่วนหน้าของเว็บไซต์ได้นั่นเอง

นักพัฒนา Back End คือ นักพัฒนาโปรแกรมในส่วนของหลังบ้าน หรือการทำงานเบื้องหลังของส่วนต่าง ๆ ในเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานไม่สามารถโต้ตอบได้โดยตรง

นั่นจึงทำให้การทำงานของ Front End และ Back End นั้นมีหน้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่การทำงานในส่วนของ Front End คือ ทำทุกอย่างให้ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมโต้ตอบได้โดยตรง ส่วน Back End นั้นจะทำงานที่อยู่เบื้องหลัง และมีข้อได้เปรียบที่มากกว่า Front End เพราะมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในเรื่องเฉพาะทางนั้นเอง โดย Back End จำเป็นต้องใช้ภาษาโปรแกรมมิงในการทำงาน ซึ่งภาษาโปรแกรมมิงนั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น

สิ่งหนึ่งที่คุณควรทราบ คุณอาจไม่เห็นรายชื่อจำนวนมากที่แสดงตำแหน่งสายงานที่แจ้งว่า บริษัท กำลังมองหา “นักพัฒนา Back End ” แต่คุณจะพบรายการที่แจ้งว่าทางบริษัทกำลังมองหา นักพัฒนา Ruby หรือ นักพัฒนา PHP ฯลฯ เป็นต้น เนื่องจากภาษาการเขียนโปรแกรมนั้น มีแค่นักพัฒนาที่รู้ว่ามันคือกุญแจสำคัญที่เหมาะสมกับงานชนิดใดบ้าง

ดังนั้นในส่วนของ Back End เท่าที่คุณสามารถทำได้ด้วยดีจากภาษาโปรแกรมมิง คุณจะไม่สามารถทำได้ด้วย JavaScript เพราะมันเป็นส่วนเฉพาะที่มีข้อจำกัดมากกว่า โดยมีความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่ง ได้แก่ ระบบการจัดการเนื้อหาส่วนใหญ่ สร้างจากภาษาการเขียนโปรแกรมของ Back End เช่นเดียวกับเว็บแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน JavaScript อาจประสบปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพของการทำงาน เช่น เกิดความล่าช้า หรือ พบข้อบกพร่องขึ้นได้ และในบางกรณี คุณสามารถใช้ JavaScript เพื่อสร้างทุกอย่างที่คุณออกแบบได้ บางครั้งยังมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านั้น ด้วยการเรียนรู้ Code ที่จะช่วยสอนให้คุณค้นหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะ และบางครั้งสิ่งเหล่านี้หมายถึงการใช้ภาษาของ Back End นั่นเอง

โดยทั่วไปแล้วนักพัฒนา Back End ส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับนักพัฒนา Front End เพื่อทำให้ Code ทำงานในการออกแบบเว็บไซต์ หรือการออกแบบแอปพลิเคชัน รวมถึงการปรับแต่งการออกแบบนั้นเมื่อจำเป็น ซึ่งในที่สุดแล้วก็มาถึงหัวข้อสุดท้ายของ Full Stack

นักพัฒนา Full Stack คือ นักพัฒนาเว็บอย่างเต็มรูปแบบทั้งหน้าบ้าน และหลังบ้าน หรือวิศวกรที่ทำงานร่วมกับ Front End และ Back End ของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งหมายความว่านักพัฒนา Full Stack สามารถจัดการโครงการที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล และสร้างเว็บไซต์ที่รองรับผู้ใช้บริการ หรือแม้แต่ทำงานกับผู้รับบริการในช่วงการวางแผนสร้างโครงการต่าง ๆ

• None มีความคุ้นเคยกับ HTML , CSS , JavaScript และภาษาโปรแกรมมิงอย่างน้อยหนึ่งภาษา หรือมากกว่าขึ้นไป

• None นักพัฒนา Full Stack ส่วนใหญ่มีความเชี่ยวชาญในภาษาการเขียนโปรแกรม Back End โดยเฉพาะ เช่น Ruby หรือ PHP และ Python แม้ว่าบางทีนักพัฒนา Full Stack จะทำงานเป็นนักพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว หรือ ทำงานมาได้มากกว่าหนึ่งงาน โดยทั่วไปแล้วในสายงานนี้มักจะมีชื่อเรียกที่เข้าใจกันว่า “นักพัฒนา Ruby เต็มรูปแบบ” หรืออะไรที่คล้ายกัน เป็นต้น

• None นักพัฒนา Full Stack ที่ดีต้องมีการเรียนรู้ทั้งการจัดการ บริหารโครงการใดโครงการหนึ่งให้สมบูรณ์แบบอยู่เสมอ รวมถึงมีการจัดวาง การออกแบบภาพรวม หรือการออกแบบเว็บไซต์ให้ออกมาดีที่สุด และมีทักษะ รวมถึงประสบการณ์ร่วมกับผู้ใช้เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม มุ่งไปสู่ความสำเร็จในแบบที่คุณต้องการ

ในเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่สามารถทำได้ในส่วนของ Front End และส่วนของ Back End ที่ยังไม่ชัดเจนนั้น นักพัฒนาส่วนมากจะกลายมาเป็นสิ่งที่ทุกคนเรียกกันว่า “Full Stack” ซึ่งนายจ้างจำนวนมาก โดยเฉพาะเอเจนซี่ที่ทำงานในไซต์ประเภทต่าง ๆ ล้วนมองหานักพัฒนาที่รู้วิธีการทำงานในทุกส่วนของเว็บไซต์เพื่อให้มั่นใจได้ว่า สามารถเลือกผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดสำหรับงาน โดยที่ไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นงานเฉพาะด้านเทคนิคฝ่าย Front End หรือ ฝ่าย Back End หรือไม่ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า นักพัฒนา Full Stack มักเป็นที่ต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของบริษัทต่าง ๆ ตามไปด้วยนั่นเอง

ซึ่งในปัจจุบันนี้หลายคนเป็นจำนวนมากคิดว่า นักพัฒนา Full Stack ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทั้งหมดของเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ซึ่งนักพัฒนา Full Stack ส่วนมากใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเขียนโค้ดทั้งด้าน Front End และ Back End ของไซต์ทั้งหมดต่างหาก แต่ประเด็นก็คือ นักพัฒนา Full Stack จำเป็นต้องรู้ให้เพียงพอเกี่ยวกับการเขียนโค้ดทั้งหมด ซึ่งนักพัฒนา Full Stack สามารถทำการค้นคว้าได้จากทุกแหล่งหากจำเป็น และนักพัฒนา Full Stack บางคนเขียนโค้ดเว็บไซต์ทั้งหมดรวมทั้งด้าน Front End และ Back End แต่มักจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีที่นักพัฒนา Full Stack ทำงานอิสระ หรือเป็นนักพัฒนาเพียงคนเดียวที่ทำงานในโครงการนั้น

การพัฒนา Full Stack อาจทำให้หลายคนเกิดความสับสน เนื่องจากวิธีการเรียกชื่อของสายงานนี้ หรือวิธีการที่ปรากฏขึ้นในรายชื่องาน โดยบางครั้งคุณจะเห็นชื่อตำแหน่งว่า Full Stack Developers หรือ Full Stack Web Developers ซึ่งล้วนแล้วต่างมีความหมายเหมือนกันทั้งสิ้น และบางครั้งอาจมีการเรียกด้วยชื่อ Full Stack Engineers เช่นกัน

ซึ่งในลำดับต่อไปนี้จะมีการอธิบายความแตกต่างระหว่างนักพัฒนา Full Stack และ วิศวกร Full Stack ให้ได้ทราบ แต่ก่อนอื่นมาดูความหมายของ Full Stack Development หรือการพัฒนา Full Stack กันก่อนดีกว่า

Full Stack Development หรือ การพัฒนา Full Stack ซึ่งรวมถึงโครงการใด ๆ ที่คุณกำลังทำงานอยู่ หรือ กำลังเริ่มสร้างขึ้น ทั้งด้าน Front End และ Back End ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันในเวลาเดียวกัน โดยพื้นฐานแล้ว คือ โครงการพัฒนาเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ทั้งผู้พัฒนาในส่วน Front End และ Back End แต่สำหรับนักพัฒนา Full Stack แล้วจะรับบทบาทเป็นแทนทั้งคู่เลยนั่นเอง

Full Stack Engineer หรือ วิศวกร Full Stack เป็นบทบาทระดับสูง สำหรับคนที่มีทักษะของนักพัฒนา Full Stack แต่มีประสบการณ์การจัดการโครงการในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชำนาญ เช่นการบริหารระบบ หรือ การกำหนดค่า การจัดการ การดูแลรักษาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และระบบ เป็นต้น

หากคุณดูตัวอย่างของงานวิศวกร Full Stack ที่มีการระบุไว้บนเว็บไซต์ คุณจะพบว่าตำแหน่งเหล่านี้มักจะเกิดจากประสบการณ์การพัฒนาเว็บ Full Stack อย่างน้อย 3 – 5 ปี เนื่องจากต้องมีความสนใจในการกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อยู่เสมอ มุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้คนให้เรียนรู้ทักษะการใช้งานของเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี โดยทุกคนมักจะคาดหวังไปที่ตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในระดับที่สูงขึ้น แต่งานวิศวกร Full Stack มักเป็นบทบาทสูงสุดที่ทุกคนต้องการหลังจากใช้เวลาทำงานในสายงานนี้มาระยะหนึ่งนั่นเอง

โดยทั่วไปคุณจะเห็นการผสมผสานของทักษะด้าน Front End และ Back End ที่มีอยู่ในรายการผู้พัฒนาเว็บ Full Stack รวมถึง

• None ความเชี่ยวชาญในด้าน Front End Framework อย่างน้อย 1 รายการขึ้นไป เช่น ReactJS หรือ Angular เป็นต้น

• None ความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ที่เกี่ยวกับความปลอดภัย

• None มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับเว็บ หรือการออกแบบภาพรวมของงาน รวมถึงสร้างแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้

มาถึงจุดนี้คุณอาจจะกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะเลือกสายงานไหนดี หากคุณอยากพัฒนาโปรดักส์ หรือทำโปรเจคด้วยตัวเอง และชื่นชอบส่วนงานทั้งของ Front End รวมถึง Back End การเป็น Full Stack อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่ แต่ว่าการจะเป็น Full Stack นั้นต้องใช้เวลาในการฝึกฝน และสะสมประสบการณ์อยู่หลายปี เพื่อที่จะเรียนรู้ส่วนงานที่มีความต่างกันอย่างมากอย่าง Front End และ Back End ให้เชี่ยวชาญเสียก่อน

ดังนั้นแรกเริ่มคุณอาจจะเริ่มเติบโตจากสายงานใดสายงานหนึ่งเสียก่อนระหว่าง Front End หรือ Back End โดยเลือกตามความถนัดและความชื่นชอบ เมื่อคุณเริ่มมีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ค่อยเริ่มเรียนรู้ส่วนงานของอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อสั่งสมประสบการณ์เป็น Full Stack ได้ในอนาคต

แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าการเรียนส่วนงานของอีกสายไม่ใช้สิ่งที่คุณชอบ เช่นคุณเชี่ยวชาญในด้าน Front End แต่ไม่ค่อยชอบการทำ Back End คุณก็สามารถเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ในสาย Front End ให้เชี่ยวชาญ แล้วพัฒนาเป็น Specialized Developer ในด้านนั้น ๆ โดยที่ไม่ต้องเป็น Full Stack ได้เช่นเดียวกัน

ในต่างประเทศอ้างอิงข้อมูลในปี 2562 เงินเดือนนักพัฒนา Full Stack โดยเฉลี่ยอยู่ที่ $ 109,508 ต่อปี เมื่อเทียบกับ $ 71,130 ต่อปี สำหรับนักพัฒนาเว็บโดยทั่วไป ในขณะเดียวกัน แน่นอนว่าโดยเฉลี่ยแล้ววิศวกร Full Stack ทำรายได้อยู่ระหว่าง $ 107,000 – $ 145,000 ต่อปี ดังนั้นจึงมีพื้นที่เหลือเฟือที่จะเพิ่มเงินเดือนของคุณ เมื่อคุณมีประสบการณ์ทำงานที่มากขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรรู้ก็คือ ในขณะที่เว็บไซต์บางแห่งมีรายชื่อนักพัฒนาเว็บ Full Stack มากกว่า 16,000 คน และยังมีรายการตำแหน่ง Front End มากกว่า 25,000 ตำแหน่ง และเงินเดือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ $ 104,708 รวมถึงตำแหน่ง Back End ที่เงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ $ 101,619 ต่อปี ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นที่จะจำกัดตัวเลือกในสายงานของคุณ เพราะในประเทศไทยเอง ทุกตำแหน่งล้วนเป็นที่ต้องการ โดยยิ่งมีประสบการณ์มาก ก็สามารถต่อรองเรื่องเงินเดือนให้ได้มากขึ้นตามความสามารถที่มี ดังนั้นจงมุ่งเน้นพัฒนาตนเอง เพิ่มทักษะ และประสบการณ์ทำงานอยู่เสมอเพื่อเงินเดือนที่คุณต้องการ

เนื่องด้วยนิสัยของนักพัฒนา ไม่ว่าจะทำงานในสายงานไหนก็ตาม ต้องคอยหมั่นอัปเดตในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะโลกในตอนนี้นั้นก้าวไกล เติบโตอยู่ตลอดเวลา และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้บางเทคโนโลยีเมื่อนำมาปรับใช้ในการเขียน จะช่วยให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเข้าร่วมกลุ่มสังคม ต่าง ๆ ของนักพัฒนาไว้เพื่ออัปเดตข่าว เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเช็คข่าวสารใหม่ ๆ ในปัจจุบัน

และอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกเช่นเดียวกันของนักพัฒนาก็คือ อย่าลืมหมั่นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองอยู่สม่ำเสมอ เพื่อที่จะทำให้สายนักพัฒนาไปได้ไวกว่าคนที่รออ่านแต่ข้อมูลในไทยอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในเว็บของต่างชาติแทบจะเป็นแหล่งข้อมูลหลักในการหาข้อมูล และมีเทคนิคใหม่ ๆ มาให้ได้เรียนรู้อยู่เสมอนั่นเอง

Comments

Post Comments